บทความ

 

 

 

 

 

 

Concept Product

Collagen Di-Peptide

       CollagenDi-peptide เป็นนวัตกรรมใหม่ของการสกัดคอลลาเจนที่ถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบของ “Di-Peptide” เป็นคอลลาเจนที่มีกรดอะมิโนซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของ คอลลาเจน เรียงต่อกันเพียง 2 ตัว อยู่ในรูปของ PO–OG จึงมีขนาดโมเลกุลเฉลี่ยเล็กมากเพียง 200 ดาลตัน ด้วยโมเลกุลที่มีขนาดเล็กมากจึงทำให้ไม่ต้องถูกย่อยที่กระเพาะอาหาร แต่สามารถถูกลำเลียงและดูดซึมที่ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที โดยตรงสู่เซลล์เป้าหมาย (Direct to Cel Target)อย่างเซลล์ผิวหนัง เซลล์กระดูก และเซลล์กระดูกอ่อนได้                                                                     

 

PO คือ  P = กรดอะมิโนโพรลีน  O = กรดอะมิโนไฮดรอกซีโพรลีน           

  OG คือ O = กรดอะมิโนไฮดรอกซีโพรลีน  G = กรดอะมิโนไกลซีน

 

 

Collagen Di-Peptide “Technology Target Boosting” 

     คอลลาเจนไดเปปไทด์ ขนาดโมเลกุลเฉลี่ยเล็กมากทำให้ไม่จำเป็นต้องถูกย่อยที่กระเพาะอาหารแต่จะถูกลำเลียงและดูดซึมที่ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดด้วย Technology Target Boosting ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่ทำให้คอลลาเจนไดเปปไทด์เข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้สามารถซ่อมแซมและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

Key Benefit of Collagen Di-Peptide
“ Bone and Join Function”

 

  • ช่วยป้องกันการเสื่อมของกระดูกอ่อนและยับยั้งการบางลงของกระดูกอ่อน 
  • ช่วยยับยั้งการเสื่อมของเซลล์คอนโดไซด์ (Chondrocytes) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างกระดูกอ่อน 
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างไกลโคสะมิโนไกลแคน (Glycosaminoglycan) ซึ่งมีคุณสมบัติดูดน้ำ จึงทำให้เนื้อเยื่อข้อต่อสามารถทนทานต่อแรงกดดันได้ 
  • ช่วยเพิ่มน้ำในข้อต่อ ทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและไม่เกิดการขัดกัน 
  • ช่วยลดการเปลี่ยนแปลงเซลล์กระดูกที่ผิดปกติในหนูทดลองที่เป็นโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) จึงมีส่วนช่วยลดภาวะความเสื่อมของข้อ 
  • สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวในบริเวณเซลล์กระดูกอ่อนได้ (จากการศึกษาของ University of Tübingen ประเทศเยอรมนี ที่ทำการทดลองในประชากรที่มีภาวะข้อเสื่อมจำนวน 2,000 คน ที่ได้รับคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยให้เล็กลงในปริมาณ 5 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน) 
  • ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง 
  • ช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่ทำลายกระดูก (Osteoblast) และเซลล์ที่สร้างกระดูก (Osteoclasts) ให้ทำงานได้อย่างสมดุลเนื่องจากกระบวนการสร้างกระดูกจะมีการสลายและการสร้างทดแทนกันอยู่ตลอดเวลา

 

Moisturizing Effect of collagen

   Collagen Di & Tri Peptide Granule 

Collagen Di Peptide  

     Collagen Di-Peptide  นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากประเทศญี่ปุ่นที่พัฒนาคอลลาเจนในรูป “ไดเปปไทด์” โดยคัดให้เหลือเฉพาะกรดอะมิโนเพียง 2 ชนิด ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือคู่ PO-OG ที่พร้อมดูดซึมทันที ขนาดโมเลกุลเล็กเพียง 200 ดาลตัน ดูดซึมไวถึง 5 เท่าของคอลลาเจนทั่วไป ทำงานได้เร็วตรงจุดที่เซลล์ไฟโบรบลาสต์ จึงสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้ดีเยี่ยม เสริมสร้างไฮยาลูโรนิคแอซิดอย่างมีประสิทธิภาพ 

Collagen Di-Peptide ประกอบด้วยอะไร?
จากงานวิจัยพบว่า Di-Peptide  คือ การเชื่อมต่อกันของ Amino Acid 2 ตัว เป็นไดเปปไทด์คู่ ดังนี้

           Proline + Hydroxyproline (Pro-Hyp)  หรือ P-O

           Glycine+Hydroxyproline ( HYP-Gly) หรือ O-G 

Di-Peptide (ไดเปปไทด์) คู่ ทั้ง 2 นี้ มีบทบาทสำคัญ คือ 

•  กระตุ้นการสร้างเซลล์ ไฟโบรบลาสต์ (เซลล์ผิวที่ผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน) 
•  สังเคราะห์กรดไฮยาลูโรนิค (ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว) 
•  กระตุ้นการทำงานของเซลล์ข้อต่อและกระดูก

 

การดูดซึมในรูปแบบ Dipeptide 

 

   การดูดซึมในรูปแบบ ไดแปปไทด์  งานวิจัยของบริษัท Nitta Gelatin  จำกัด พบว่า คอลลาเจนทั่วๆไปมีการดูดซึมต่ำหากเทียบกับการดูดซึมในรูปแบบ Dipeptide  ซึ่งมีเทคโนโลยี Nitta Gelatin Inc.(Japan) มีส่วนช่วยทำให้สารสกัดเอนไซม์เฉพาะตัวของ Collagen triple helix ให้อยู่ในรูปของ Collagen Peptide ซึ่งเป็นสารสกัดที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และในที่สุด จะเปลี่ยนสถานะเป็นไดเปปไทด์ (Di-Peptide) ที่สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ข้อต่อ และกระดูกได้ทันที 

   ส่วนประกอบของกรดอะมิโน   คอลลาเจนประกอบไปด้วยสัดส่วนของกรดอะมิ โนถึง 18 ชนิด โดยมีกรดอะมิโนหลัก 3 ชนิด ได้แก่ Proline , Hydroxyproline และ Glycine รวมกันมากถึง 48.7 % ที่สามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 

   จากงานวิจัย Journal of Dermatology 2010 แสดงให้เห็นว่า หลังจากรับประทาน Collagen Di-Peptides ไดเปปไทด์คู่ (Pro-Hyp) + (Hyp-Gly) จะตรงเข้าสู่เซลล์ผิวหนังชั้นใน (Fibroblast) ได้ดีกว่ากรดอะมิโนทั่วไป และไตรเปปไทด์ โดยเซลล์ผิวหนังชั้นใน (Fibroblast) จะสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และกรดไฮยาลูโรนิค ที่ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น เรียบเนียน ริ้วรอยร่องแก้ม และจุดด่างดำจางลงได้ความพิเศษที่เหนือใครของ Collagen Peptides

 

Key Benefit of Collagen Di & Tri Peptide

 

• ช่วยในการปกป้องผิวจากการทำลายของแสงแดด 
• ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน นุ่มลื่นน่าสัมผัส 
• ช่วยเติมเต็มร่องแก้มแก้ม ให้เรียบเนียน 
• รูขุมขนดูเล็กลง ใบหน้ามีความกระชับแน่นขึ้น 
• ช่วยลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำค่อยๆ จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ 
• ช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่นขึ้น 
• ช่วยยับยังการเสื่อมของคอนโดรไซต์ (Chondrocytes) 
• ช่วยกระตุ้นการสร้างไกลโคสะมิโนไกลแคน ที่ทำหน้าที่สร้างสารหล่อลื่นในกระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง 
• ช่วยสร้างความสมดุลให้กับกระดูก ไม่ให้มวลกระดูกเสื่อมเร็ว
 
Key Benefit of Collagen Di & Tri Peptide
1.บำรุงสุขภาพของผิวหนังและเส้นผม

     เมื่อเราอายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนจะลดลง และกำลังเกิดขึ้นในขณะที่คุณกำลังอ่านอยู่ในตอนนี้ คุณจะสังเกตได้จากร่างกายของคุณ ผิวหนังที่หย่อนยานลง ริ้วรอยที่เพิ่มมากขึ้น และความยึดหยุ่นที่ลดน้อยลง การเพิ่มระดับคอลลาเจนนั้นสามารถช่วยคุณมีผิวหนังที่กระชับยิ่งขึ้น เรียบเนียนยิ่งขึ้น และช่วยให้เซลล์ผิวหนังของท่านผลัดเซลล์และซ่อมแซมเซลล์ได้ตามปกติ

     งานวิจัยพบว่า   กลุ่มผู้ทดลองที่ให้ยาหลอก  เทียบกับกลุ่มที่ให้คอลลาเจน  ซึ่งจากการศึกษาถึงคุณสมบัติต่างๆ ของคอลลาเจนนั้นพบว่า  การรับประทาน อลลาเจน ในปริมาณ  2.5 – 5 กรัมในกลุ่มผู้หญิงอายุ 35 – 55 ปี   รับประทานทุกวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลา  8  สัปดาห์นั้นสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ความชุ่มชื้น การสูญเสียน้ำทางผิวหนัง (ความแห้ง) และความหยาบของผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ

     คอลลาเจนยังลด เซลลูไลท์ และ ริ้วรอย โดยเมื่อผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นอันเนื่องมาจากคอลลาเจนที่ลดลง จะเกิดผลข้างเคืองอีกอย่างหนึ่งคือ เซลลูไลท์ที่มองเห็นได้ชัดมากขึ้น โดยจากการที่ผิวหนังของคุณนั้นบางลง เซลลูไลท์จะเด่นชัดขึ้น โดยไมต้องซ่อนสิ่งใดๆ ที่อยู่ข้างใต้ การเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวของคุณด้วยคอลลาเจนนั้น สามารถช่วยลดรอยบุ๋มบนผิวหนังของคุณได้

2. ลดอาการเจ็บข้อต่อและการเสื่อมสภาพ
     คุณเคยรู้สึกเหมือน “ขากระโดกกระเดก” ไหม ความรู้สึกฝึดและเจ็บปวดเมื่อขยับร่างกาย อาการนี้คือการสูญเสียการหล่อเลี้ยงด้วยคอลลาเจน เนื่องจากเมื่อเราสูญเสียคอลลาเจน เส้นเอ็นและกระดูกอ่อนของเราจะขยับเขยื่อนยากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความฝืด ข้อต่อบวม เป็นต้น

     นักวิจัยที่ศูนย์การแพทย์ Harvard’s Beth Israel Deaconess Medical Center ในเมือง Boston นั้นพบว่า การรับประทานอาหารเสริมที่มีคอลลาเจนประเภมที่ 2 นั้นชวยลดความเจ็บปวดของผุ้ปวยอันเนื่องมาจาก โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และบรรเทาอาการเจ็บต่างๆ ด้วยการลดอาการบวมของข้อต่อ งานวิจัยอีกชิ้นหนึงที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Medical Sciences นั้นพบว่าผู้ที่มีอาการเจ็บจากโรคข้อเข่าเสื่อมที่ได้รับคอลลาเจนประเภทที่ 2 นั้นทำกิจกรรมประจำวันได้ดีขึ้น อาทิ การเดินขึ้นบันได การปีนป่าย หรือการนอนหลับ และคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น

3. ช่วยรักษาลำไส้รั่ว
     คอลลาเจนนั้นจะมีประโยชน์อย่างมาก หากคุณมีภาวะลำไส้รั่ว ซึงเป็นภาวะที่สารพิษอันตรายนั้นสามารถซึมผ่านเข้าไปในระบบทางเดินอาหารของคุณ คอลลาเจนช่วยสลายโปรตีน และบำรุงภายในลำไส้ รักษาผนังเซลล์ที่เสียหาย และรวมตัวกับกรดอะมิโนที่รักษาโรคได้  คุณประโยชน์อันดับหนึ่งจากการบริโภคคอลลาเจนคือ คอลลาเจนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อที่เชื่อมติดกัน และ “ปิดผนึกและรักษา” ชั้นป้องกันของระบบทางเดินอาหาร

     การรับประทานคอลลาเจนเป็นประจำ   สามารถช่วยรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารได้ ซึ่งรวมถึงภาวะลำไส้รั่ว โรค IBS โรคกรดไหลย้อน โรคโครห์น และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง โดยนอกเหนือจากการช่วยรักษาลำไส้รั่วแล้ว คอลลาเจนยังสามารถช่วยการดูดซับน้ำภายในลำไส้ ซึ่งทำให้สิ่งต่างๆ ภายในร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น

4. เพิ่มการเผาผลาญ มวลกล้ามเนื้อ และพลังงานที่ได้รับ
     การได้รับคอลลาเจนเพิ่มขึ้นนั้นอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ด้วยการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อที่ไร้ไขมัน และช่วยในการแปลงสภาพของสารอาหารที่สำคัญต่างๆ โดยหนึ่งในบทบาทสำคัญของไกลซีน คือ การช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อด้วยการแปลงกลูโคสให้เป็นพลังงานสำหรับเซลล์กล้ามเนื้อต่างๆ และโปรดจำไว้ว่า การรักษาสภาพของมวลกล้ามเนื้อนั้นมีความสำคัญพอๆ กับอายุของท่าน เพราะกล้ามเนื้อนั้นช่วยในการเคลื่อนไหว บำรุงกระดูก และเผาผลาญแคลอรี่ โดยเมื่อบริโภคคอลลาเจน ให้คุณบริโภควิตามินซี ด้วยเพื่อให้ร่างกายของคุณสามารถแปลงคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูร่างกาย ให้พลังงาน และความแข็งแรงของร่างกาย

5. เสริมความแข็งแรงของเล็บ เส้นผม และฟัน
     คุณเคยเล็บหลุดลอกหรือไหม? สาเหตุนั้นอาจเกิดการขาดคอลลาเจน คอลลาเจนโปรตีนนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญของเล็บ เส้นผม และฟัน การบริโภคคอลลาเจนเสริมนั้นสามารถช่วยรักษาความแข็งแรงของเล็บของคุณ และลดผมร่วง
     งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Investigative Dermatology นั้นพบ “ความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างแมทริกซ์ที่อยู่นอกเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และการเสริมสภาพของปุ่มรากผม ซึ่งเสนอแนะว่า คอลลาเจนนั้นเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการรักษาผมร่วง และโรคผิวหนังอื่นๆ”

6. บำรุงตับ
     คอลลาเจนนั้นมีความสำคัญมาก หากคุณต้องการทีจะดีท๊อกซ์สารที่เป็นอันตรายในร่างกายของคุณ บำรุงการไหลเวียนของเลือดและหัวใจ โดยจากการทีไกลซีนนั้นช่วยลดความเสียที่เกิดขึ้นกับตับ เมื่อตับนั้นดูดซึมสารต่างๆ สารพิษ หรือแอลกอฮอล์ ที่ไม่ควรผ่านเข้าไปในตับ

     หนึ่งในวิธีการที่ง่ายที่สุดในการล้างสารพิษในตับของคุณคือ การรับประทานซุปกระดูก โดยแนะนำให้ทำการดีท๊อกซ์ด้วยซุปกระดูกเป็นเวลาสามวัน เพื่อซ่อมแซมลำไส้ที่รั่ว ซึ่งอาจช่วยร่างกายในการกำจัดสารเคมีต่างๆ และ “รีเซต” ลำไส้ของคุณ และปรับปรุงการทำงานโดยรวมของระบบภูมิคุ้มกัน งานวิจัยต่างๆ พบว่าไกลซีนนั้นสามารถช่วยลดความเสียหายของตับที่เกิดจากแอลกอฮอล์ และอาการบาดเจ็บเฉียบพลันและเรื้อรังอื่นๆ ของตับได้

7. ปกป้องสุขภาพของหัวใจและระบบหลอดเลือด
     กรดอะมิโนโพรลีนช่วยให้ผนังเส้นเลือดของคุณคลายการก่อตัวของไขมันในกระแสเลือด ลดขนาดของไขมันในหลอดเลือดแดง และลดการสะสมตัวของไขมัน โพรลีนจำเป็นสำหรับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อภายในข้อต่อและหลอดเลือด และช่วยควบคุมแรงดันเลือดด้วย โดยจากการที่เป็นองค์ประกอบของคอลลาเจนที่พบภายในข้อต่อต่างๆ โพรลีนจึงช่วยปกป้องร่างกายของเราจากผลกระทบจากความสั่นสะเทือนหรือช๊อก และช่วยเราในการรักษาสภาพของกระดูกอ่อนเมื่อเรามีอายุมากขึ้น อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับการป้องกัน โรคหลอดเลือดแดงแข็ง เพราะโพรลีนช่วยป้องกันการก่อตัวของเกร็ดเลือดที่เป็นอันตราย . . . นอกจากนี้ อาร์จินิน ยังเสริมการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น และทำให้เซลล์กล้ามเนื้อและหลอดเลือดผ่อนคลายเพื่อการหมุนเวียนที่ดีขึ้น

 

ปัจจัยของอายุมีผลต่อการลดลงปริมาณคอลลาเจนในผิว 

 

 

Functional Ingredient

     การศึกษาล่าสุด โครงการออกแบบอาหารในประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่าส้มเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อการป้องกันโรคมะเร็ง การศึกษาด้านวิทยาการจากสถาบันมะเร็งนานาชาติของสหรัฐ ได้พบความสัมพนธ์ผกผันระหว่างการกินซิตรัสและการแพร่กระจายมะเร็ง จากการสืบหาสารป้องกันมะเร็งคือ สาน D-limonene , Limonoids and Hesperidin ซึ่งสารทั้งหมดอยู่ในส้มยูสุ สารลิโมนอยด์(Limonoid) เป็นส่วนหนึ่งในอนุพันธ์ไตรเตอพีน (triterpene) ที่จะพบเจอแค่ในส้มสายพน Rutaceae และ Meliaceae มีไกลโคไซด์ (Glycoside) 36 ชนิด และกลูโคไกลโคไซด์ (Glucose Glycosides) ได้ถูกพบเจอหลังจากการแยกสาร สารลิโมนอยด์ ไกลโคไซต์(Limooid Lionin) เป็นสารที่ทำให้มีรสชาติขมและพบเยอะมากกว่า 1,800 เท่าในเมล็ด เมื่อเทียบกับน้ำจากผล ลิโมนอยด์ ไกลโคไซด์(Limonoid glycosidas) จะไม่ขมและเจอแต่น้ำจากผลส้ม

     จากการทอลอง In vivo โดยการใช้หนูขาวและแฮมสเตอร์ ที่ซึ่งลิโมนอยด์ โมมิลิน(Limonoid Nomilin) และโอบาคูนอน (obacunone) กระตุ้นการทำงานของสาร Glutathione-S-Transferase ที่เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการปราบปรามการเกิดขึ้นของเนื้องอก ซึ่งผลการทดสอบสรุปได้ว่า ลิโมนอยด์(Limonoid) และโอบาคูนอน(obacunone) ช่วยในการลุกลามของมะเร็งลำไส้ในหนูทดลอง

 

กระบวนการผลิตเมลานินและผิวที่คล้ำ

     เมลานินเป็นเม็ดสีที่เกิดจากสาเหตุของผิวที่แก่ขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน การอักเสบของผิว และการสัมผัสกับแสงรังสียูวี จากการสัมผัสกับแสงรังสียูวี หลังจากนั้นแสงรังสีจะทะลุผ่านผิวหนังกำพร้าไปยัง เมลาโนไซท์ (melanocytes)ที่ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำการผลิต เม็ดสีเมลานินในชั้นผิวละทำหน้าที่การต้านกับแสงรังสีที่ทะลุผ่านเข้ามา

     ในเซลล์เมลาโนไซท์(melanocytes) มีเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase)ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสีเมลานินหลังจากได้รับสัญญาณ เอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase) จะเปลี่ยนสารไทโรซีน(Tyrosine)กรดอะมิโน ให้กลายเป้น DOPA หลังจากนั้นเปลี่ยน DOPA quinone และออกซิไดซ์กลายเป็นเมลานิน มากไปกว่านั้น มีกลุ่มโปรตีนที่ซี่ว่า stem cell factor (SCF) มีบทบาทสำคัญในการเกิดรอยดำที่ผิวหนัง แสง UV ได้ไปกระตุ้นการทำงานของ SCF และEndothelin เพื่อกระตุ้มส่งต่อให้ เซลล์เมลาโนไซท์ (melanocytes) ผลิตเมลานิน

Physiological Functions of YUZU SEED EXTRACT

 1.Skin Whitening  เซลล์ B16 เมลาโนน่า ถูกใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพของการสกัดเมล็ดส้มยูสุในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้น โดยทำการเปรียบเทียบกับ B-Arbutin และวิตามิน (Ascorbic acid)

     

2.Fibroblast Growth (In Vitro)  สารสกัดเมล็ดส้มยูสุได้แสดงให้เห็นถึงการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไฟโบรบลาส และสามารถบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของการเกิดเซลล์ผิวใหม่ในการผลัดเซลล์ผิว

 

 

3.Skin Turn Over แบบจำลองเซลล์ผิวหน้าของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาทำการเลียนแบบเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัลเมล็ดส้มยูสุในการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ประสิทธิภาพที่เกิดจากความหนาของชั้นผิวหนัง(หนังแท้และหนังกำพร้า)ถูกศึกษาผ่านกล้องจุลทรรศน์หลังจากให้ทาสารสกัดเมล็ดส้มยูสุ ซึ่งทำให้เห็นว่า สารสกัดเมล็ดส้มยูสุส่งเสริมการสร้างคลอลาเจน และการเจริญเติบโตของไพโบรบลาส โดยมีความหนาของฉันผิวที่เพิ่มขึ้น

4.mRNA expression on 3D culture of skin cells   การเพาะเชื้อ 3 มิติ ของผิว ถูกสร้างเพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบติ่ mRNA ของเอนไซม์หลากหลายชนิดซึ่งสารสกัดสามารถยับยั้งเอนไซม์ ไฮยางูรอนิเดส 2 และ 3 เซลาไมเดส สฟิงโกไมอีลิเนส และคอลลาจิเนส(MMP1)

 

 

5.Skin smoothing ประสิทธิภาพของสารสกัดเมล็ดส้มยูสุกับสภาพผิวหนัง ทดสอบกับผู้หญิงที่มีสุขภาพดี จำนวน 8 คน โดยการรับประทานเข้าไป

อายุ : 23-41 ปี

ปริมาณ : 200มก/วัน (Yuzu Seed Extract-P)

ระยะเวลาทดลอง :  4 สัปดาห์

การตรวจวัด : ความชุ่มชื้นของผิวรอบดวงดาด้านล่างซ้ายโดยใช้เครื่องมือในการตรวจวัด

              ความชุ่มชื้นในชั้นผิวจาก 62% เพิ่มขึ้นป็น 66% จากการรับประทาน และสารสกัดส้มยูสุในปริมาณจากการทดลอง สามารถทำให้สภาพผิวโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จาการถ่ายภาพจากกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งหมายความว่า สารสกัดเมล็ดส้มยูสุมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมในการฟื้นฟูและทำให้สภาพผิวกลับคืนมาอ่อนเยาว์

 

Acerola Cherry Extract

 

     Acerola Cherry เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม คือ วิตามินซีจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยโปรตีน และแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม มีสารสำคัญที่ชื่อ Trans-beta-carotene   ที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย  และมีปริมาณของไขมันอิ่มตัวและโซเดียมต่ำ ไม่มีคอเรสตอรอล และจากผลงานวิจัย พบว่า  สารสกัดจากอะเซโรล่า เชอร์รี่ มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าที่พบในส้มมากถึง 30-80 เท่า  การดูดซึมได้ดีกว่า – วิตามินซีจาก Acerola Cherry  ดูดซึมผ่านลำไส้เล็กได้เร็วกว่าวิตามินซีสังเคราะห์ 1.63 เท่า  เสริมเนื้อเยื่อให้แข็งแรง – Vitamin C ที่ได้จาก Acerola Cherry มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกาย เนื้อเยื่อของผิวหนัง เส้นเอ็น เส้นเลือด ซึ่งวิตามินซีจะช่วยให้อวัยวะต่างๆเหล่านี้ไม่เปราะ  มีความยืดหยุ่น และแข็งแรงขึ้น

 

 Key Benefits – Acerola Cherry Ext.

1.เร่งสร้างเสริมคอลลาเจน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงช่วยเร่งการสร้างเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยและทำให้ผิวยังคงกระชับและยืดหยุ่นอยู่เสมอ

2.ทำหน้าที่เป็นตัวสมานผิว พร้อมลดเลือนริ้วรอย ประโยชน์อีกอย่างประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ต่อผิวหนังคือเป็นตัวช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และกระทั่งช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารได้

3.ปกป้องผิวการบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวของคุณจะได้รับการปกป้องจากตัวทำให้เกิดความตึงเครียด จากสารเคมี (Chemical Stressor) อย่างควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

4.เร่งการฟื้นฟูสภาพผิวอะเซโรลาเชอร์รี่สามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูซ่อมแซมบาดแผล  แผลไฟไหม้   แผลเป็น และกระทั่งรอยแตกลายได้ด้วย

5.ต่อสู้กับการเสื่อมสภาพของผิวไบโอฟลาโวนอยด์เป็นส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวออกไป ช่วยต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ริ้วรอยร่องตื่น รอยตีนกา รอยใต้โหนกแก้ม จุดด่างดำ รอยหมองค้ำ

6.ต่อต้านอนุมูลอิสระวิตามินซีที่มีอยู่มากใน Acerola Cherry ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากการถูกทำลายได้ เนื่องจากอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงและถูกทำลายในที่สุด อีกทั้ง อนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเจ็บป่วยและโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ 

7.ซ่อมแซมเซลล์ผิวเสียอะเซโรลาเชอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 3  ซึ่งทั้งหมดช่วยทำให้ผิวสวยงามและเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น

- Vitamin A :ช่วยให้ผิวหนังสามารถต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าที่ทำให้เกิดผิวเสียได้
- Vitamin B1,B2,B3— จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย 
- Vitamin B5  ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งในระยะยาวช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจได้

8. ทำให้ผิวขาวขึ้น หากคุณบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำ จะพบว่าผิวของคุณจะขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น และมีโทนสีผิวดีขึ้นโดยไม่ทำให้โทนสีผิวผิดเพี้ยนไปและเกิดรอยตำหนิขึ้นมา อีกทั้ง ผิวที่เกิดจากการสร้างเม็ดสีมากผิดปกติอย่างกระและจุดเม็ดสีที่มีสาเหตุจากวัยจะมีสีที่สว่างขึ้นตามโทนสีผิวของคุณ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ผิวพรรณของคุณมีสุขภาพดีขึ้นตามธรรมชาติ 

9. ปกป้องจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิว สามารถปกป้องคุณจากรังสียูวีได้ โดยปริมาณวิตามินเอในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายได้ เพราะหากคุณสัมผัสกับรังสียูวีมากจนเกินไปจะทำให้ผิวเสีย ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้นจะนำไปสู่มะเร็ง

10. ทำให้ผิวชุ่มชื้น สารอาหารต่างๆ มากมายในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวหนังของคุณอิ่มน้ำ  และคงความชุ่มชื้นไว้ได้ ไม่ว่าผิวของคุณจะเป็นประเภทใดก็ตาม

11. จัดการกับสิ่วและปัญหาผิวหนังอื่นๆ ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผิวอย่างสิว โรคสะเก็ดเงิน และผิวหนังอักเสบนั้นมักเกิดจากผิวหนังขาดวิตามินซีทั้งสิ้น  แต่ด้วยอะเซโรลาเชอร์รี่มีวิตามินซีตามธรรมชาติสูง  นอกจากนี้ ยังมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิวและแผลเป็น เพราะมันช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลและการลดรอยแดงของร่างกาย  และวิตามินซีนี้ยังช่วยลด Cortisol ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว

 

 

 

Kiwi seed  extract 

     Kiwi  มีชื่อวิทยาศาสตร์   Actinidia chinensis   กีวี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตหุลายชนิด อย่าง เช่นวิตามินเอ ซี อี เค บี1 บี2 บี3 บี6 บี9 แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม สังกะสี แมงกานีส เป็นต้น โดยจัดเป็นผลไม้ที่ มีวิตามินสูงมากอีกด้วย

 

     Kiwi seed  extract หรือ สารสกัดจากเมล็ดกีวี่  มาศึกษาวิจัยซึ่งค้นพบว่าใน Kiwi  seed  extract มีสารสกัดสำคัญๆ คือ Polyphenol และ  Quercitrin ซึ่งเป็นสารที่ช่วย ต่อต้านอนมุลูอิสระ ลดการอักเสบของผิวและลดจุดด่างดำ ต่อต้านการเกิดสิวและช่วยลดการอักเสบของสิว สารสกัดจากเมล็ดกีวี ยับยั้งสาเหตุของสิวโดยเฉพาะ

 

วิตามินซีสูง สูงกว่าส้มถึง  74%.

  

 

คุณสมบัติในการยับยั้งการเกิดสิว

 

กลไกที่ 1 5α-Reductase คือ เอนไซม์ที่รับผิดชอบในการเปลี่ยน Testosterone เป็น Dihydrotestosterone (DHT) ซึ่งจะกระตุ้นให้ ต่อมไขมันใหญ่ขึ้น และทำให้เกิดการหลั่งของไขมันมากขึ้น (Sebaceous hypersecretion)ซึ่งจัดเป็นแหล่งอาหารของ AnearobicPAcne ซึ่งจะไปกระตุ้นในเกิดการอักเสบภายใต้ผิวหนัง ผลลัพธ์เมื่อทานKiwi Seed Extract คือจะไปยับยั้งเอนไซม์5α-Reductase ไม่ให้เปลี่ยน Testosterolเป็น DHT ที่ก่อให้เกิดสิว

คุณสมบัติในการยับยั้งการเกิดสิว

กลไกที่ 2 แบคทีเรีย Propionibacterium acnes. ซึ่งจัดเป็น Micro flora ของรูขุมขนบนผิวหนัง ซึ่งมีส่วนในการผลิต sebum (หรือไขมัน) โดยการทำงานของ P.acneคือ ผลิต bacterium lipase เพื่อทำปฏิกิริยากับ Sebum triglyceride ให้เป็น free fatty acid ซึ่งจากคือยับยั้งการผลิต Lipaseหลั่งไปที่รูขุมขนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ผลลัพธ์เมื่อทาน Kiwi seed extract จาก P. Acne ซึ่งนำไปสู่การสร้าง free fatty acid ที่ก่อให้กิดสิว

 

Horsetail Extract

 

สารสกัดสมุนไพรหญ้าหางม้าเข้มข้น ธรรมชาติ บำรุงสุขภาพผม ผิว เล็บให้แข็งแรง สารสกัดจากสมุนไพรหญ้าหางม้า เข้มข้น ช่วยบำรุงเส้นผม ช่วยลดสาเหตุการเกิดสิว

 

ประโยชน์ของ Horsetail Extract

-มีสารสำคัญคือ Silicon ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนคอลลาเจน (collagen) ที่พบมากในบริเวณผนังหลอดเลือด กระดูก เอ็น ผม และเล็บ ฯลฯ
-ทำให้เซลล์ผิวหนังกระชับและแข็งแรงขึ้น (ชั้นผิวหนังแท้หนาขึ้น)
-เพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นผมและเล็บ
-เพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกและเอ็น เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ หรือนักกีฬา แนะนำให้ใช้ร่วมกับกลูโคซามีน ซัลเฟต (Glucosamine Sulfate)
-มีฤทธิ์ขับปัสสาวะอย่างอ่อน (Mild Diuretic) ป้องกันการเกิดนิ่วในไต (Kidney Stones) และลดอัตราการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ (Urinary Tract Infection)

ประโยชน์ของสารสกัดจากหญ้าหางม้า สารสกัดจาก หญ้าหางม้า มีปริมาณของซิลิกามากกว่า สมุนไพร อื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อและสมานแผล

• สารสกัดจากหญ้าหางม้า นำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะเป็นแหล่งสะสมซิลิกาและแคลเซียมที่ดี มีประโยชน์ในด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมทั้งยังส่งเสริมในด้านการทำงานของเซลล์ให้มีประสิทธิภาพที่ดี

• มันอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อต่าง ๆ

• สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และยังเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเกาต์

• สารสกัด จากหญ้าหางม้า ประกอบไปด้วยซิลิกา ที่ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และมันยังส่งเสริมการดูดซึมของแคลเซียม ใช้ในการรักษาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกระดูก เช่น โรคไขข้อ และกระดูกพรุน

• การใช้สารสกัดจากหญ้าหางม้า ยังเป็นยาสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมในการเจริญและสร้างความแข็งแรงของผม เหมาะกับผู้ที่ผมร่วงหรือต้องการจะปลูกผม เพราะเนื่องจากมีกรดอะมิโน และ phytosterols ซึ่งจะสร้างความแข็งแรงให้กับรูขุมขน นอกจากนี้ยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหนังศีรษะ กระตุ้นรูขุมขน และลดการผลิตไขมันหรือน้ำมันในหนังศีรษะ ซึ่งส่งผลให้ผมมัน ทำให้เสียบุคลิกภาพ

• สารสกัดจากหญ้าหางม้ายังช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวมีสุขภาพดีอีกด้วย

 

L-Cysteine

L-Cysteine แอล-ซีสเตอีน เป็นสารประเภท กรดอะมิโน ชนิดหนึ่งที่เป็นสารตั้งต้นในการการสร้าง กลูต้าไธโอนให้กับร่างกาย โดย L-Cysteine จะทำงานร่วมกันกับ Glycine และ Glutamic acid ที่มีมากในร่างกายเรา และสารที่จะสั่งให้เกิดการ form พันธะเ ป็นกลูต้าไธโอนได้นั้นคือ กลุ่มVITAMIN C หรือแคลเซี่ยม แอสคอร์เบต (Calcium Ascorbate) สร้างที่ตับ

 

•ป้องกันการผลิต eumelanin สีดำ L-cysteine ​​มีส่วนช่วยในการผลิต pheomelanin ซึ่งเป็นเม็ดสีที่เบาเมื่อเทียบกับ eumelanin เนื่องจากมีความสามารถในการฟอกสีผิวสูงมากจึงใช้ในยาแก้จุดฝ้าและยาเม็ดอาหารเสริมต่างๆ

 

•​​ช่วยกระตุ้นการผลิตกลูตาไธโอน กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในร่างกายและการศึกษาหลายชิ้นพบว่ามีผลต่อผิวขาวหลังการบริหารกลูตาไธโอน ดังนั้นการไม่ใช้ L-cysteine ​​มากพออาจทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆได้

 

•กระตุ้นการหมุนเวียนของผิว การหมุนเวียนของผิวสัมพันธ์กับริ้วรอยและผิวคล้ำปริมาณ L-cysteine ​​ที่จำเป็นสำหรับการช่วยให้ผิวมีปัญหาประมาณ 200 มก. ต่อวันหรือ L-cystine 100 มก. เนื่องจากเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับเงินจำนวนนี้จากอาหารแนะนำให้ใช้เม็ด L-cysteine ​​หรือ L-cystine

 

•มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์เปอร์ออกซิเดชั่นกลูตาไธโอนซึ่งช่วยปกป้องผิวจากปฏิกิริยาออกซิเจนชนิด ROS นอกจากนี้ยังยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งมาจาก ROS และเกี่ยวข้องกับการผลิตเมลานิน

L-Glycine

ไกลซีน เป็นกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญมากในการสร้างโปรตีนในร่างกาย การสร้างของ RNA, DNA, กรดน้ำดี กระตุ้นตับให้สร้างกลูต้าไธโอน และกรดอะมิโนอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยดูดซึมของแคลเซียมในร่างกาย และเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน
  เป็นกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญมากในการช่วยเพิ่มการอุ้มน้ำให้แก่เซลล์ผิวและรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนัง โดยจะไปกระตุ้นตับให้สร้าง กลูต้าไธโอน ช่วยบำรุงให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหนังชั้นในทำให้ผิวพรรณและอวัยวะต่างๆมีความยืดหยุ่น เต่งตึง นอกจากนี้ยังช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยสมานแผลทำให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากรังสี UV และช่วยต้านอนุมูลอิสระด้วย

L-Glutamine

  L-Glutamine เป็นกรดอะมิโนชนิดจำเป็น ( Essential Amino Acid) และเป็นกรดอะมิโนที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยมากกว่า 60%  ช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ โดยการช่วยทำลาย กรดแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ ในขณะที่ออกกำลังกายได้ ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น และ Glutamine ยังจะช่วยลดการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ (Muscular Dystrophy) อีกทางหนึ่งด้วย ในนักกีฬาที่ใช้สมองมาก Glutamine ยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับสมอง ช่วยให้สมองมีการทำงานที่ดีมากขึ้น โดย Glutamine จะทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการผลิตสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) คือ Glutamate และ GABA ( Gamma-Aminobutyric Acid ) และนอกจากนี้ Glutamine ยังเป็นสารที่จำเป็นจะต้องใช้ สำหรับการล้างพิษสารแอมโมเนียที่เกิดขึ้น จากการทำงานหนักของสมองอีกด้วย

Zinc

 

ซิงค์ หรือ แร่สังกะสี นั้นเป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นเอง หรือกักเก็บไว้ได้ แต่จะได้รับผ่านทางการรับประทานอาหารเท่านั้นร่างกายของเราจำเป็นต้องใช้แร่สังกะสี เพื่อใช้ในกระบวนการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เช่น การเจริญเติบโตและการพัฒนาของร่างกาย , ปฏิกิริยาของเอนไซม์, การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันการสังเคราะห์โปรตีน ,การสังเคราะห์ DNA, การฟื้นฟูบาดแผล ,การแสดงออกของยีน (Gene expression)   นอกจากนี้แร่สังกะสีนี้ยังมีความจำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์กว่า 300 ชนิด ที่ช่วยในเรื่องของกระบวนการเผาผลาญ การย่อยอาหาร การทำงานของระบบประสาท ตลอดไปจนถึง การพัฒนาและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซิงค์จึงจัดได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากเป็นอันดับ 2 รองจากธาตุเหล็ก

หน้าที่ของแร่ธาตุสังกะสีในร่างกาย

•มีความสำคัญในการสังเคราะห์และเมแทบอลิซึมของกรดนิวคลิอิก อย่าง ดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็น เอ (RNA) ซึ่งร่างกายจำเป็นต้องใช้ในระหว่างสร้างเซลล์ใหม่
•มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็กทารก เด็กวัยรุ่น และผู้หญิงตั้งครรภ์ และการพัฒนาของ อวัยวะสืบพันธุ์อย่างเหมาะสมและช่วยให้การทำงานของต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) เป็นไปตามปกติ
• ช่วยให้เซลล์สามารถนำวิตามินเอไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังที่เกิดขึ้นใหม่มีความ สมบูรณ์ช่วยให้ความสมดุลของผิวหนังเป็นปกติ และช่วยป้องกันปัญหาสิวซึ่งมีสาเหตุมาจากการอุดตัน ของไขมันได้
• ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการทำงานของเม็ดเลือดขาว
•ช่วยรักษาอาการสิวได้ โดยการลดอาการอักเสบ และป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ทั้งยังช่วยลดการทำงานของต่อมน้ำมัน จึงช่วยลดการสะสมและอุดตันของไขมันบนใบหน้า อันจะนำไปสู่การเกิดสิวได้อีกด้วย
 

Vitamin C

 

วิตามินซี หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อ กรดแอสคอบิก (Ascorbic acid หรือ L-Ascorbic acid หรือเรียกกันง่ายๆว่า Ascorbate) มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี เป็นวิตามินที่พบได้ตามธรรมชาติ เช่น ในผัก ผลไม้ หน้าที่ของวิตามินซีที่ร่างกายมนุษย์นำไปใช้เช่น

 

•ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน (Collagen) และ แอลคาร์นิทีน (L-carnitine, สารที่ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้อย่างปกติ)

 

•เป็นส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ชนิดต่างๆ

 

•เป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการสมานบาดแผล

 

•เป็นส่วนร่วมของกระบวนการเปลี่ยนแปลงโปรตีนเพื่อการใช้งานในร่างกาย

 

•เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายรวมถึงมีส่วนร่วมในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นเช่น วิตามินอีหรือ Tocopherol อีกด้วย

  วิตามินซี นั้นมีประโยชน์หลายอย่างต่อร่างกาย ช่วยในเรื่องการการส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และยังช่วยให้ผิวสวยสดใส ทำให้สุขภาพดี แต่ประโยชน์ของวิตามินซียังไม่หมดแค่นั้น ลองมาดูกันว่ามันมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่น ๆ อย่างไรบ้าง

•กระตุ้นการสร้างคอลาเจนในร่างกาย
•ช่วยลดริ้วก่อนวัย
•ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง
•ทำให้สิวหายเร็วขึ้น
•ป้องกันผิวคล้ำเสียจากแดด
•ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
•ลดคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
Pineapple   
  สับปะรด สามารถช่วยป้องกันโรคต่างๆ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Collagen) และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ช่วยในการย่อยอาหาร ดีต่อสุขภาพ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือดและช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเพราะในสับปะรดมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่มีชื่อว่า “บรอมีเลน” สามารถช่วยย่อยอาหารได้ทั้งใสภาวะเป็นกรดและด่าง จึงเหมาะมากที่จะพาไปช่วยย่อยในกระเพาะซึ่งเป็นกรด หากกินสับปะรดหลังอาหารเป็นประจำ จะช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรด มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งรังไข่ ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ชาวอเมริกาใต้โบราณใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล สับปะรดดีต่อสุภาพสตรีและผู้ป่วย สำหรับสุภาพสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือน อาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร หรือผู้ป่วยอาการที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูก ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าท์ หากรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการต่างๆเหล่านี้ได้ รวมไปถึงสมานแผลให้ทุเลาได้เร็วขึ้น
 

คอลลาเจน ( Collagen ) คืออะไร

                   คอลลาเจน  คือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง ขน เส้นผมและข้อกระดูกของร่างกายของมนุษย์และสัตว ในภาษาอังกฤษ Collagen มีที่มามาจาก  คำภาษากรีกคำว่า “kólla” ซึ่งแปลว่า “กาว” ดังนั้นคอลลาเจนจะคอยทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ต่างๆที่อยู่ในร่างกายให้เข้ากัน ช่วยป้องกันเหล่าอวัยวะต่างๆที่อยู่ภายในร่างกายและเชื่อมอวัยวะเหล่านั้น ให้อยู่ด้วยกัน ซึ่งภายในเซลล์ผิวหนังในร่างกายก็มี คอลลาเจน อยู่เป็นส่วนประกอบจำนวนมากถึง 75 % ผิวหนังของเราจึงมีแรงสปริงตัวและมีความยืดหยุ่นที่ดีตามไปด้วย  คอลลาเจน จะคอยทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ทุกๆ เซลล์ที่มีอยู่ภายในร่างกายของเราไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นเป็นอวัยวะ เนื้อเยื่อ หรือส่วนประกอบของร่างกายให้มีความสมบูรณ์ขึ้นมาได้ Collagen จึงมีปริมาณจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกายของมนุษย์   เพราะเป็นโครงสร้างในส่วนที่มีความยืดหยุ่นของร่างกายนั่นเอง

       คอลลาเจนมีบทบาทในการรักษาผิวให้อวบอิ่มและปกป้องกล้ามเนื้อและกระดูก จึงเป็นเหตุเป็นผลที่ร่างกายของคนเราต้องการรักษาระดับคอลลาเจนให้อยู่ในระดับสูง แม้ว่าร่างกาย จะมีการสังเคราะห์ Collagen ขึ้นมาเองอย่างเต็มที่ ” สร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยตัวเองได้ดีมากที่สุด  แต่การผลิตคอลลาเจนจะช้าลงในอัตราประมาณ 1.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีตั้งแต่อายุ ประมาณ 20 ปีขึ้นไป นี่คือสาเหตุของผิวเหี่ยวย่น และเกิดริ้วรอยได้ง่ายนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยง และไม่สามารถหยุดยั้งได้ เราสามารถชดเชยความ สูญเสียนั้นได้ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน

 
     ประโยชน์ของคอลลาเจน ( Collagen )
     -   เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวกระชับและมีความเรียบเนียน ต่อต้านการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
     -   รักษาความชุ่มชื้นในผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำที่ชั้นผิว ลดการระคายเคือง ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดี กระจ่างใสยิ่งขึ้น 
     -   ลดเลือนริ้วรอย และร่องลึกต่างๆ เริ่มลดน้อยลง-
     -   ลดการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
     -   ลดกระบวนการสลายแคลเซียมในกระดูก
     -   ดูแลข้อต่อกระดูก กล้ามเนื้อ  ลดอาการปวดข้อ
     -   ผมและเล็บแข็งแรงมากยิ่งขึ้
     -   กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
     -   ช่วยเติมเต็มผิวที่หย่อนคล้อย

 

          ชนิดของคอลลาเจน Collagen ) ที่เราควรรู้

 ในปัจจุบันมีการค้นพบคอลลาเจนมากกว่า 18 ชนิด แต่คอลลาเจนที่พบมากที่สุด 4  ชนิดได้แก่

      1. คอลลาเจนชนิดที่ 1type I    เป็นชนิดที่มีมากที่สุดในร่างกาย พบที่ผิวหนังและกระดูก

      2. คอลลาเจนชนิดที่ 2type II   เป็นชนิดที่พบมากในกระดูกอ่อน

      3. คอลลาเจนชนิดที่ 3type III  เป็นชนิดที่พบในเส้นเลือด กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และหลอดเลือดแดง

      4. คอลลาเจนชนิดที่ 4type IV   เป็นชนิดที่พบได้บริเวณเส้นใยฝอยของเยื่อแผ่นบางๆในบริเวณนอกเซลล์

 

              แหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ( Collagen )

  โดยทั่วไปสามารถพบคอลลาเจนได้ในอาหารจำพวกปลาทะเล เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ถั่วหลากสี ผักใบเขียว เห็ดต่าง ๆ ผักผลไม่สีแดงส้ม เช่น

       1. ถั่วเหลือง จะมีเจนิสติน ( genistein ) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ ไอโซฟลาโวน โดยมีส่วนเร่งกระบวนการผลิตคอลลาเจน จึงช่วยในการยกกระชับผิวพรรณให้เกิดความเต่งตึงและยังช่วยบล็อกเอนไซม์ ชนิดไม่ดีที่จะเข้ามาทำร้ายผิวให้หย่อนคล้อยจนมีรอยตีนกาได้

       2. วิตามินซี พบในผักผลไม้หลายชนิด เช่น ส้มหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวให้แข็งแรงได้ด้วย

       3. กรดไขมันโอเมก้า-3 พบได้จากปลาแซลมอน ทูน่า อะโวคาโด และอัลมอนด์ เป็นต้น จะช่วยเติมเต็มร่องลึกของเซลล์ผิวที่ได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระหรือปัจจัยอื่นๆ

       4. ดาร์กช็อกโกแลต อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีผลต่อการเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณกระชับยืดหยุ่น นุ่มชุ่มชื้นและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย

       5. ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ผักกาดหอม  เป็นต้น ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยเพราะสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ลูทีน( lutein )

       6. โปรตีนที่เป็นเนื้อสีขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา  เป็นต้น ทำให้วิตตามินซีดูดซึมคอลลาเจนได้ดี

 

          เคล็ดลับการทานคอลลาเจน Collagen )

       1. ทานคอลลาเจนตอนท้องว่าง แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด

       2. เลือกคอลลาเจนที่มีขนาดเล็ก เพราะ ร่างกายสามารถดูดซึม นำไปใช้ได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

       3. ทานคอลลาเจนที่มีส่วนผสมของวิตามิน ซี หรือทานร่วมกับวิตามินซี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดี

       4. ทานในปริมาณที่เหมาะสมเช่น ทานคอลลาเจนเพื่อลดริ้วรอยให้ทานวันละ 10,000 มก. ต่อวัน  ทานคอลลาเจนเพื่อบำรุงสุขภาพเฉยให้ทานวันละ 5,000 มก. ต่อวัน และผู้สูงอายุที่ทานเพื่อบำรุงรักษากระดูกให้ทานระหว่าง 2,500 มก. – 5,000 มก. ต่อวัน

        5. รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ผักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด งดสูบบุหรี่

 

                                       *** อย่างไรก็ตามวิธีที่สำคัญที่สุดในการปกป้องคอลลาเจนคือการไม่ทำลายคอลลาเจนของคุณเอง***

 

   ที่มาของข้อมูล  

  1.  https://oureverydaylife.com/13400281-does-drinking-collagen-live-up-to-the-hype.html
  2.  Helcke, T., 2000, Gelatin, the food technologist’s friend or foe, Int. Food Ingred. 1: 6-8.
  3. Shoulders, M., and Raines, R. Collagen Structure and Stability. Annu Rev Biochem. 2009. vol. 78, p. 929-958

 

 

             Collagen Peptide ( คอลลาเจน เปปไทด์ ) คืออะไร

          Collagen Peptide ( คอลลาเจนเปปไทด์ )คือการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปของสายกรดอะมิโนที่สั้นขึ้น โดยทั่วไปแล้ว Collagen Peptide จะมีขนาดใหญ่ทำให้ดูดซึมได้ยาก การย่อยสาย Peptide ของคอลลาเจนด้วยเทคโนโลยี จะทำให้โมเลกุลของ Collagen Peptide มีขนาดเล็กลง ช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้มากขึ้น ถ้าหากร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอนุภาคใหญ่เกินไป ก็จะทำให้ร่างกายนั้นไม่สามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ทั้งหมด ดังนั้น Collagen ที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการย่อยด้วยกรด ทำให้มีอนุภาคที่ใหญ่ และทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเอาไปใช้ได้ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ  ดังนั้น Collagen Peptide ที่มีอนุภาคเล็กกว่า จึงสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Collagen Peptide ที่ถูกสกัดมาจาก วัว หมู และปลา  เรียกได้ว่าเป็น Collagen ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

          การทำงานของ Collagen Peptide  เมื่อร่างกายได้รับ Collagen Peptide แล้ว  ก็จะถูกย่อยในลำไส้เล็ก จนเกิดเป็นการ Tir-Peptide และ Di-Peptide หรือ กรด Amino  ซึ่งจะทำให้ Peptide นั้นดูดซึมผ่านเยื่อบุบลำไส้ได้ง่าย และเข้าสู่กระแสเลือด จะเป็นการกระจายไปทั่วร่างกายเพื่อไปเสริมสร้างในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ ผิวหนังชั้นใน และข้อต่อกระดูก ส่งผลให้เรามีสุขภาพผิวที่ดี ผิวนุ่ม ผิวลื่น และไม่มีปัญหาเรื่องข้อต่ออักเสบ Collagen Peptide  จึงทำให้เห็นผลไวกว่าคอลลาเจนทั่วๆไป

 

             Collagen Hydrolysate  ( คอลลาเจน ไฮโดรไลเซท ) คืออะไร

           ไฮโดรไลเซท คอลลาเจน หรือ ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) คือ คอลลาเจนเสริม ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนในชั้นผิว เป็นสารอาหารที่ผ่านขบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คอลลาเจนที่มีขนาดและความยาวสั้นลงนั่นเอง ซึ่งจะทำให้ถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ผิวชั้นลึกของร่างกายได้เป็นอย่างดี ส่วนในเรื่องปริมาณควรรับประทานวันละ 10 กรัม ในขณะท้องว่างโดยเริ่มทนได้ตั้งแต่ช่วงเข้าวัยผู้ใหญ่ สามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 23 ปี

                              ประโยชน์ของ Collagen Hydrolysate  ( คอลลาเจน ไฮโดรไลเซท ) 

-   ช่วยให้เซลล์ผิวมีความแข็งแรง เรียบตึง เพิ่มความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง ลดรอยเหี่ยวย่น หมองคล้ำ ทำให้ผิวคงความอ่อนเยาว์

-   ช่วยให้เล็บที่เปราะบางแข็งแรงขึ้น ไม่ฉีกขาดง่าย

-   เกล็ดผมสุขภาพดีขึ้น ทำให้ผมหนาและแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม

-   ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม

-   ลดรอยแผลเป็นให้ดูจางลง

 

                           Collagen dipeptide ( คอลลาเจน ไดเปปไทด์) คืออะไร             

    Collagen dipeptide ( คอลลาเจนไดเปปไทด์)คือ นวัตกรรมใหม่ของการสกัดคอลลาเจน ที่พัฒนาให้อยู่ในรูปแบบของ “ไดเปปไทด์” เป็นคอลลาเจนที่มีกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างหลักของคอลลาเจนเรียงต่อกันเพียง 2 ตัวเท่านั้น  อยุู่ในรูปของPO(Prolineและ Hydroxproline - OG(HydroxyprolineและGlycine) ทำให้มีโมเลกุลมีขนาดเล็กมากเฉลี่ยเพียง 200 ดาลตันเท่านั้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องถูกย่อยที่กระเพาะอาหาร แต่จะถูกลำเลียงและดูดซึมที่ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าตรงสู่เซลล์เป้าหมายอย่างเซลล์ผิวหนัง เซลล์กระดูก และเซลล์กระดูกอ่อนได้อย่างง่ายดาย และนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว

             ประโยชน์ของ Collagen dipeptide ( คอลลาเจนไดเปปไทด์)

-   เสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ให้เติมเต็มริ้วรอยและลดความเหี่ยวย่นของผิว

-   ป้องกันการเสื่อมของกระดูกอ่อนและยับยั้งการบางลงของกระดูกอ่อน

-   เป็นส่วนประกอบของการสร้างผม ผิวหนัง เล็บ และกระดูกได้ง่าย

-   ช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น นุ่มนวล ดูสดใส กระชับและเต่งตึงขึ้นให้ผิวมีความชุ่มชื่น นุ่มเนียนขึ้น แลดูอ่อนเยาว์

-   กระตุ้นการสร้างไกลโคสะมิโนไกลแคน (Glycosaminoglycan)  ทำให้เนื้อเยื่อข้อต่อสามารถทนทานต่อแรงกดดันได้

-   เพิ่มน้ำไขข้อในข้อต่อ ทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

-   เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดภาวะความเสื่อมของข้อกระดูก

-   ลดการอักเสบและอาการเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวในบริเวณเซลล์กระดูกอ่อน

 

 

 

Visitors: 36,523